มะเร็งนับเป็นโรคร้ายใกล้ตัวที่เกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ในไทยเองก็มีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เนื่องจากในทุกวันนี้เราถูกแวดล้อมไปด้วยปัจจัยเสี่ยงต่างๆ มากมาย เราต่างไม่อยากให้โรคนี้ต้องมาเกิดกับตนเองและคนที่เรารัก เพราะแม้ว่าปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์จะก้าวหน้ากว่าแต่ก่อนมาก แต่ผู้ป่วยก็ต้องยอมทนทุกข์จากขั้นตอนการรักษาที่ซับซ้อนและยาวนาน ส่งผลกระทบไปถึงคุณภาพชีวิตที่ลดลง
วิธีการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตามมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ การฉายรังสี และการใช้เคมีบำบัด ล้วนเป็นวิธีที่ใช้กำจัดเนื้อร้าย แต่ก็ส่งผลเสียตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเมื่อได้รับการรักษาด้วยวิธีเหล่านี้จะส่งผลให้เซลล์ปกติจำนวนมากถูกทำลายตามไปด้วย ผู้ป่วยจึงหนีไม่พ้นที่ต้องเจอกับผลข้างเคียงต่างๆ เช่น ผมร่วง แผลในปาก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร โลหิตจาง หรือติดเชื้อง่าย เป็นต้น จึงไม่แปลกที่หลายคนจะรู้สึกท้อแท้และยอมแพ้กับโรคร้ายนี้
ธรรมชาติบำบัดเป็นอีกทางเลือกเพื่อเสริมการรักษาโรคมะเร็ง
ด้วยผลข้างเคียงต่างๆ นานา ทำให้ในปัจจุบันผู้ป่วยหลายรายเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการรักษา หรือบางครั้งก็เลือกทำควบคู่ไปกับวิธีการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน จนในขณะนี้มีความต้องการการรักษามะเร็งทางเลือกทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น จากข้อมูลของ Expert Market Research (EMR research) พบว่าตลาดการรักษามะเร็งทางเลือกคาดว่าจะโตปีละ 17.8% ในช่วงระหว่างปี 2566-2571 นี้
ธรรมชาติบำบัดเป็นอีกหนึ่งการรักษาทางเลือกที่กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในไทยที่มีข้อได้เปรียบของความหลากหลายของสมุนไพร รวมถึงภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย โดยธรรมชาติบำบัดด้วยการใช้สมุนไพรนั้นสามารถช่วยเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพ และยังช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาตามแผนปัจจุบันได้
การใช้วิถีธรรมชาติบำบัดมะเร็งนั้น ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่
- การขับของเสียในร่างกาย ซึ่งเป็นขั้นตอนเพื่อขจัดสารพิษและของเสียต่างๆ ที่สะสมอยู่ในร่างกายออกเสียก่อน
- การยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อมะเร็ง โดยสมุนไพรสูตรต้นตำรับไทยต่างๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในขั้นตอนนี้
- การกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ขั้นตอนนี้จะส่งเสริมให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง โดยการให้สารอาหารและวิตามินเข้าสู่ร่างกาย
พัฒนาตำรับยาสมุนไพรไทยด้วยวิทยาการสมัยใหม่
ทั้งนี้ การใช้ยาสมุนไพรตามแผนโบราณไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรเดี่ยวหรือตำรับยาต่างๆ มักมีส่วนประกอบทางเคมีของสารหลายชนิด โดยไม่ได้ระบุลงไปว่าสารชนิดใดส่งผลต่อมะเร็งหรือในปริมาณความเข้มข้นเท่าไร รวมถึงการกินสมุนไพรเพื่อรักษามะเร็งก็อาจมีฤทธิ์เป็นพิษต่อร่างกายได้ดังนั้น การใช้สมุนไพรจึงต้องผ่านการศึกษาวิจัยไม่ว่าจะใช้ในการบำบัดรักษา เสริมฤทธิ์ หรือลดผลข้างเคียง ทั้งยังต้องผ่านการตรวจวิเคราะห์สิ่งปลอมปนในยาสมุนไพรด้วย
เมื่อวิทยาศาสตร์ผสานเข้ากับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย ก็จะทำให้การใช้ธรรมชาติบำบัดสำหรับผู้ป่วยมะเร็งนั้นมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากขึ้น ยกตัวอย่างตำรับยาที่ผ่านวิเคราะห์และพัฒนาแล้ว รวมถึงที่ผ่านการประเมินความเป็นพิษ (toxicity test) แล้ว ได้แก่
- ตำรับยารุพรหมภักดิ์ ซึ่งให้ผลการออกฤทธิ์เหมือนเป็นยาเคมีบำบัดตามธรรมชาติ ช่วยต้านเซลล์มะเร็ง ยับยั้งการกลายพันธุ์ และต้านอนมูลอิสระ
- ตำรับยาล้อมพรหมภักดิ์ (ประจุกษัย) มีสรรพคุณในการยับยั้งการกลายพันธุ์และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในร่างกาย ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมภูมิคุ้มกัน
- ตำรับยารักษาพรหมภักดิ์(ตัดรากกษัย) ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็ง ออกฤทธิ์แบบเดียวกับเคมีบำบัดตามธรรมชาติ ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน
ธรรมชาติบำบัดด้วยสมุนไพรนับเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทนทุกข์กับการรักษาตามแนวทางมาตรฐาน และมีข้อดีในหลากหลายด้าน อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยควรต้องปรึกษาแพทย์อย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางการรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด